วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์

พระตำหนักษิณราชนิเวศน์ตั้งอยู่บนยอดเขาตันหยง ติดชายทะเล ตำบลกะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส อยู่ห่างจากตัวอำเภอเมืองนราธิวาส ประมาณ 8 กิโลเมตร ไปตามถนนสายนราธิวาส - อำเภอตากใบ ครอบคุลมเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ บริเวณเชิงเขาตันหยงและหาดทรายริมทะเล สร้างขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2516 สำหรับเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงค์ เมื่อเสด็จแปรพระราชฐานยังจังหวัดชาย แดนภาคใต้ ช่วงเดือนสิงหาคม - ตุลาคม ของทุกปี ลักษณะอาคาร ประทับก่ออิฐถือปูน ทรงปั้นหยาสมัยใหม่ตามแบบนิยมของภาคใต้ แบ่งเป็นอาคารหมู่บน ซึ่งเป็นที่ประทับ และตำหนักของกองราชเลขาฯ และหมู่อาคารล่างอันเป็นที่พักของทหารมหาดเล็ก ในบริเวณมีแปลงทดลองปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ไม้ยืนต้น รวมถึงกรงเลี้ยงไก่ฟ้า นก และสัตว์ป่าพันธ์ต่างๆ ท่ามกลางแวดล้อมพรรณไม้ ป่าดงดิบ หายากของภาคใต้ และไม้ใหญ่ร่มรื่นสวยงาม ส่วนบริเวณด้านล่าง จัดเป็นศูนย์ศิลปาชีพพิเศษ ซึ่งเป็นแหล่งผลิต ้และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เซรามิค และเครื่องปั้นดินเผา เพื่อเสริมสร้างรายได้ และพัฒนาฝีมือแก่คนในท้องถิ่น


ความสำคัญ

พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์เป็นพระตำหนักที่ประทับในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินินาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอ และพระราชวงศ์ เมื่อเสด็จมาประทับแรมที่จังหวัดนราธิวาส ซึ่งตามปกติจะเสด็จแปรพระราชฐานอยู่เป็นประจำทุกปี เพื่อทรงงานตามโครงการพระราชดำริ และทรงตรวจเยี่ยมราษฎรในพื้นที่จังหวัดภาคใต้

ลักษณะสถาปัตยกรรม

ลักษณะสถาปัตยกรรมของพระตำหนักทักษิณราชนิเวศเป็นอาคารคอนกรีตก่ออิฐถือปูน ลักษณะเป็นทรงปันหยาสมัยใหม่ ซึ่งสถาปัตยกรรมทรงนี้เป็นศิลปะนิยมของชาวภาคใต้ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสให้สถาปนิกออกแบบให้มีรูปทรงประสานกลมกลืน กับอาคารบ้านเรือนแบบท้องถิ่นที่มีอยู่แต่ดั้งเดิม



เส้นทางคมนาคมเข้าสู่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์

พระตำหนักแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ชายทะเลบริเวณเชิงเขาตันหยง ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมืองนราธิวาส ตามทางหลวงสายอำเภอเมืองนราธิวาส - อำเภอตากใบ ห่างจากที่ตั้งศาลากลางจังหวัดนราธิวาส ประมาณ ๘ กิโลเมตร
พระตำหนักฯเปิดให้บริการประชาชนทั่วไปเข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา09.00 - 16.00น. เฉพาะในช่วงที่ยังไม่ได้เสด็จแปรพระราชฐานก่อนประมาณ 2 เดือน


ที่มา : http://www.panyathai.or.th/

วัดชลธาราสิงเห

วัดชลธาราสิงเห


วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย พระอารามหลวง ชั้นตรี


วัดชลธาราสิงเห (วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย) เป็นวัดเก่าแก่ ตั้งอยู่หมู่ 3 ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จาก สี่แยกตลาดอำเภอตากใบแยกซ้ายประมาณ 100 เมตร


เมื่อครั้งอังกฤษได้มลายูเป็นเมืองขึ้นนั้น อังกฤษพยายามจะรวมเมืองนราธิวาสไว้ในเขตมลายูด้วย แต่ ทว่าทางไทยเราได้อ้างว่าหัวเมืองนี้เป็นของไทยมานาน โดยยกเอาวัดชลธาราสิงเห ที่อำเภอตากใบ ซึ่งเป็น วัดไทยมาเป็นข้ออ้าง อังกฤษจึงยอมให้นราธิวาส รวมอยู่ในเขตของไทย


ในบริเวณวัดชลธาราสิงเห มีสิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนาศิลปะฝีมือแบบไทยปักษ์ใต้ เป็นจุดเด่น และงดงามหลายชิ้น ในโบสถ์เก่าซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งเขียนโดยฝีมือพระภิกษุชาวสงขลางดงามมาก และถ่ายทอดรูปแบบชีวิตวัฒนธรรมความเป็น อยู่ท้องถิ่นปักษ์ใต้ไว้เด่นน่าสนใจเป็นพิเศษ เปิดให้ชมทุกวันระหว่างเวลา 08.00 น. - 17.00 น. โดยต้องขอ อนุญาตจากท่านเจ้าอาวาสก่อน




ศาลาธรรมรุ่นเก่าอีกหลังหนึ่ง เป็นศิลปะปักษ์ใต้ผสมอิทธิพลสถาปัตยกรรมจีนแปลกตา และในวิหาร เก่าด้านหลังวัด มีประติมากรรมปูนปั้น รูปพระนารายณ์ 4 กร ที่บ่งถึงอิทธิพลศาสนาพราหมณ์อีก 1 องค์ กับเครื่องถ้วยชาม ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเครื่องถ้วยชามสมัยราชวงศ์ซ้อง กับพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งพิทักษ์โดย พญานาค 2 ตน ที่ยังกำหนดอายุและยุคสมัยของงานศิลปะไม่ได้แน่ชัด




วัดชลธาราสิงเห หรือ วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย สร้างขึ้นปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ในสมัยดินแดนตากใบยังเป็นรัฐกลันตัน โดยวัดแห่งนี้ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติ เนื่องจากเป็นโบราณสถานที่รัฐบาลใช้เป็นเหตุผลอ้างอิงในการปักปันเขตแดนในปี 2441 ที่มีผลให้ดินแดนแห่งนี้ไม่ต้องผนวกเป็นประเทศมาเลเซีย จึงได้รับสมญานามว่า วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย วัดดังกล่าวยังเป็นศูนย์รวมความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวไทย ในเขตอำเภอตากใบและใกล้เคียง รวมทั้งชาวมาเลเซีย ปัจจุบันมีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษา 7 รูป มีพระไพศาลประชามาศ เป็นเจ้าอาวาส








- พระอุโบสถ -




ที่มา : http://www.dhammathai.org/watthai/south/watchontharasinghe.php

ป่าพรุสิรินธร





ที่ตั้ง ครอบคลุมพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ และ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส 




การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ สู่นราธิวาส มีเที่ยวบินและรสบัสปรับอากาศชั้นหนึ่งบริการทุกวัน จากนั้นจึงเดินทาง ต่อด้วยรถประจำทางของท้องถิ่นสู่ อ.สุไหงโก-ลก หากเดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ จะค่อนข้างสะดวกกว่า เพราะสถานีปลายทางอยู่ที่ อ.สุไหงโก-ลก


ป่าพรุสิรินธร นับเป็นป่าพรุที่สมบูรณ์ที่สุดในจำนวนป่าพรุที่ยังเหลืออยู่ในประเทศไทย ความ
หลากหลายทางชีวภาพและความมหัศจรรย์ของระบบนิเวศภายในป่าพรุผืนนี้เป็นแรงจูงใจให้นัก

วิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ เข้ามาศึกษาค้นคว้าและดำเนินงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ทรัพยากรธรรมชาติของป่าพรุแห่งนี้ก็ยังอำนวยประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการดำรงชีวิตของราษฎร์ที่อาศัย อยู่โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ แหล่ง แหล่งอาหารและยาสมุนไพร

หลังการสู้รบเป็นเวลานาน ในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์ได้ประกาศยุติการต่อสู้ แล้วเข้าร่วม
เป็นผู้รวมพัฒนาชาติไทย เมื่อปี พ.ศ.2530 พร้อมทั้งได้ปรับปรุงซ่อมแซมอุโมงค์ที่เสียหาย
เพื่ออนุรักษ์ไว้ ให้ชนรุ่นหลังได้ท่องเที่ยวและศึกษา

ความเป็นมาป่าพรุ จัดอยู่ในจำพวก ป่าไม่ผลัดใบ เกิดอยู่ในบริเวณที่เป็นแอ่งน้ำขัง สำหรับป่าพรุสิรินธร แต่ เดิมมีชื่อเรียกว่า ป่าพรุโต๊ะแดง ตามชื่อคลองโต๊ะแดง ที่ไหลผ่านพรุแห่งนี้ ในอดีตป่าผืนนี้เคยมี พื้นที่ป่าสมบูรณ์ดังเดิมนับแสนไร่ และได้เอื้อประโยชน์มากมาย แต่จากการใช้พื้นที่อย่างผิดๆ ด้วย ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในอดีต เป็นสาเหตุให้ป่าพรุถูกทำลายลงไปอย่างรวดเร็ว ทางกรมพัฒนาที่ ดินและกรมป่าไม้ ภายใต้โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริได้ ดำเนินการแก้ไข โดยประกาศจัดตั้งเป็น เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และจัดตั้งศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร เพื่อให้ การดำเนินงานศึกษาวิจัยระบบนิเวศป่าพรุเป็นไปอย่างได้ผลอีกทั้งจัดสร้างเส้นทางเดินศึกษา ธรรมชาต ิป่าพรุ เพื่อประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติของป่าพรุไปสู่ประชา ชนในวงกว้าง
สร้างสะพานโดยไม่ทำลายธรรมชาติ

สำหรับพื้นที่ในเขตอนุรักษ์ประมาณ 125,000 ไร่ โดยยังคงมีป่าสมบูรณ์ดังเดิมหลงเหลืออยู่ ประมาณ 57,000 ไร่ จัดว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายของพืชและสัตว์มากที่ สุด

ในป่าพรุแห่งนี้ มีพืชพรรณไม้ดอกอาศัยอยู่ประมาณ 109 วงศ์ จำนวน 450 ชนิด พืชไร้ดอก จำพวกเฟิร์นประมาณ 15 วงศ์ จำนวน 40 ชนิด และยังไม่รวมพืชชั้นต่ำจำพวกมอสอีกมากมาย และยังมีพวก เห็ด รา ที่คาดกันว่าอาจมีอยู่อีกหลายร้อยชนิด

บรรยากาศที่น้ำตกสิรินธร



การที่ป่าพรุโต๊ะแดงอยู่ค่อนมาทางส่วนปลายของคาบสมุทรมลายูทำให้ได้รับอิทธิพลของ พรรณพืช เขตมาเลเซีย ต้นไม้หลายชนิดจึงพบเห็นได้เฉพาะในป่าพระแห่งนี้เท่านั้น เช่น หมาก แดง พืชในวงศ์ปาล์มที่สวยงามและหาชมได้ยาก ปาหนันช้าง พืชในวงศ์กระดังงาที่มีดอกใหญ่ และยังกล้วยไม้กับพืชเล็กๆ แปลกตาอีกมากมาย

พื้นที่ของป่าพรุส่วนใหญ่เป็นหล่มเลน ไม่เหมาะให้สัตว์ขนาดใหญ่มาอยู่อาศัย ดังนั้นสัตว์ ขนาดโตที่สุดจึงได้แก่ หมีหมา และ เสือดำ นอกจากนั้นส่วนมากเป็นสัตว์ขนาดเล็กอื่นๆ ซึ่งเป็นจำพวกที่สามารถเกาะไต่อยู่ตามเรือนยอดไม้ได้ เช่น ลิงแสม ค่างแว่นถิ่นใต้ กระรอก เป็นต้น แต่ที่นับว่าน่าสนใจก็คือ นกที่หายากชนิดต่างๆ ตลอดจนสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และแมลงแปลกๆ อีกนานาชนิด


บัวบา (Nymphoides indica)


ซึ่งจากการสำรวจชนิดและสถานภาพของทรัพยากรสัตว์ป่า ในบริเวรป่าพรุสิรินธรพบว่ามี สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จำนวน 50 ชนิด นก 195 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 30 ชนิด สัตว์สะเทินน้ำ สะเทินบก 14 ชนิด และยังไม่รวมสัตว์น้ำ กับแมลงที่อาจมีอยู่อีกมากมาย ในความหลากหลายนี้มี สัตว์ที่หายากจำนวนหลายสิบชนิด อย่างเช่น เสือไฟ นากเล็กเล็บสั้น กระรอกบินแก้งแดง อีเห็นน้ำ เหยี่ยวปลาใหญ่หัวเทา นกตะกรุม กิ่งก่าบิน และจระเข้น้ำเค็มเป็นต้น แต่ที่นับว่าเป็นสัตว์หายากยิ่ง ซึ่งคาดว่ายังคงมีหลงเหลืออยู่ในป่าพรุแห่งนี้ ก็คือ แมวป่าหัวแบน สัตว์ป่าคุ้มครองที่หายากอีก ชนิดของไทย

ทางเดินศึกษาธรรมชาติของป่าพรุสิรินธร ประกอบด้วย อาคารศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร ซึ่งเป็นส่วนที่มีการจัดแสดงนิทรรศการที่เป็นแผนภาพและแบบจำลอง ต่อด้วยเส้น ทางเดินป่าที่มีความยาวประมาณ 1,200 เมตร เป็นสะพานไม้มีรั้วกัน หลังจากนั้นจะเป็นแนวป่า ทึบ ในขณะเดียวกันก็จะได้ศึกษาถึงสภาพของดิน ระบบของราก-การดูดซึม น้ำ สัตว์ป่าและพืช พรรณไม้ในป่าพรุ และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการส่องกล้องมองดูนก ก็ไม่ควรพลาด ขึ้นไปชมนกบน หอคอย ซึ่งต้องข้ามพ้นสะพานแขวนไปเล็กน้อย

เอื้องไผ่


สำหรับฤดูกาลที่เหมาะแก่การมาเที่ยวชม คือ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน เพราะมีฝนตกน้อยกว่าเดือนอื่นๆ สำหรับเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธรนี้จะเปิด ให้ผู้สนใจ เข้าชมทุกวันโดยไม่เก็บค่าบริการ ตั้งแต่ 8.00 น-16.30 น. สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร โทร 01-7150159 หรือจะสอบถามได้ที่สำนักงาน ททท.ภาคใต้เขต 3 โทร (073)612126,615230


ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=balloon-flying&month=02-2006&date=24&group=1&gblog=1

พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล


 พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล วัดเขากง นราธิวาส
Click on image to view larger image

พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล สถานที่ประดิษฐาน บริเวณพุทธอุทยานวัดเขากง
มงคลมิ่งมิตรปฏิฐาราม ตำบลลำภู อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส

พุทธลักษณะ ศิลปรัตนโกสินทร์อิทธิพลอินเดียใต้ยุคโจฬะรุ่นหลังผสมกับ

นครศรีธรรมราชหรือแบบขนมต้ม ปางแสดงปฐมเทศนา ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร
พระหัตถ์ขาวยกจีบเสมอพระอุระ พระหัตถ์ซ้ายวางหงาย
ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๗ เมตร สูง ๒๔ เมตร สร้างด้วยคอนกรีตผสมเหล็ก

เมื่อเอ่ยถึงสี่จังหวัดภาคใต้เรามักจะนึกถึงประชาชนชาวไทยมุสลิม

และศาสนสถานสำคัญๆ ทางศาสนาอิสลาม
แต่ที่นราธิวาสซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จังหวัดนี้ ยังมีสถานที่อันเป็นที่ประดิษฐาน
ของพระพุทธรูปที่เป็นศรีสง่าแก่  ภาคใต้องค์หนึ่งได้แก่
พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล พุทธอุทยานเขากง

ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล อยู่ห่างจากตัวจังหวัดนราธิวาส
มาตามทางสายนราธิวาสตันหยงมัสเพียง ๘ กิโลเมตร

บริเวณเขากงนี้เชื่อได้ว่าคงเคยมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา

มาก่อนเนื่องจากได้สำรวจพบร่องรอยโบราณสถานโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับ
พุทธศาสนาหลายสิ่งประกอบกับในสมัยปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์อยู่แล้ว

พุทธศาสนิกชนจึงดำริพร้อมกันที่จะสร้างสิ่งสำคัญทางพุทธศาสนาไว้เป็นมิ่งขวัญและ

เป็นที่สักการะบูชาของภาคใต้

การก่อสร้างได้เริ่มขึ้นเมื่อปี ๒๕๐๙ แล้วเสร็จในปี ๒๕๑๒

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จพระราชดำเนิน
ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเมื่อปี ๒๕๑๓

พระพุทธทักษิณมิ่งมงคลเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่มีพุทธลักษณะงดงาม

ประกอบกับประดิษฐานอยู่ยอดเขาจึงสูงเด่นเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธา
ทั้งยังเป็นเครื่องหมายแห่งการอยู่ร่วมกันโดยสันติ
ระหว่างพระพุทธศาสนาและศาสนาอิสลามในภาคใต้ของประเทศไทยด้วย

พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2509 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2512
สิ้นค่าก่อสร้างทั้งสิ้นกว่า 5 ล้านบาท  องค์พระเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา
หน้าตักกว้าง 17 เมตร สูงจากบัวใต้พระเพลา ถึงพระเกศบัวตูม 23 เมตร
และได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ
 พร้อมด้วยดินจากสังเวชนียสถาน มาประดิษฐานที่พระอุระเบื้องซ้าย
การก่อสร้างเป็นแบบคอนกรีตเสริมเหล็กประดับด้วยกระเบื้องโมเสดสีทอง